การจัดองค์การ (Organizing)
Organizing - STAFFING
การจัดองค์การ ( Organizing)
นักทฤษฎีองค์การทั้งหลายพยายามที่จะออกแบบองค์การ
เพื่อรวบรวมเอาพนักงานทั้งหลายขององค์การที่จะต้องทำงานร่วมกัน และมีความจำเป็นที่จะต้องประสานงาน เพื่อให้งาน
ได้รับมอบหมายบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ
ซึ่งการจัดองค์การถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการบริหารการจัดการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานบางอย่างไม่สามารถทำเพียงคนเดียวได้ หลาย ๆ
คนจำต้องรวมตัวกันเป็นกลุ่มที่เรียกว่า “ องค์การ
” ดังที่ CHESTER I BARNARD กล่าวว่า องค์การเป็นระบบของการร่วมมือร่วมใจของมนุษย์
ดังนั้น การจัดองค์การก็เพื่อให้โครงสร้างของกลุ่มคน และกลุ่มตำแหน่งงานต่าง
ๆ ที่จะไปรองรับกับแผนงานที่กำหนดไว้ และเป็นโครงสร้างที่จัดขึ้น
เพื่อประสานให้ทุกฝ่ายเข้าใจได้ดี ช่วยลดความซ้ำซ้อนผู้บริหารจึงจำเป็นต้องจัดองค์การให้มีลักษณะที่สมดุลเพื่อประโยชน์ขององค์การ
ความหมายของการจัดองค์การ
การจัดองค์การ (Organizing) คือ
กระบวนการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่าง
คนงานและกิจกรรมต่างๆขององค์การเพื่อที่จะก่อให้เกิด
การใช้ทรัพยากรขององค์การให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
การจัดองค์การ (Organizing)
คือ การจัดระเบียบกิจกรรมต่าง ๆ
ในองค์การ และ
มอบหมายงานให้คนปฏิบัติเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์หรือเป้าหมาย การจัดองค์การที่ดี
จะช่วยให้การบริหารการจัดการมีประสิทธิภาพได้เนื่องจาก
1. ทำให้ทราบขอบเขต ความรับผิดชอบ และอำนาจหน้าที่ต่าง ๆ
2. ช่วยป้องกันการทำงานที่ซ้ำซ้อน
3. ช่วยประสานงานในหน้าที่ต่าง ๆ ได้ดี
4. ช่วยลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างพนักงานในองค์การได้
5. สามารถแสดงให้เห็นตัวภาระหน้าที่ความรับผิดชอบได้ชัดเจน
6. ทำให้มีระบบการสื่อสารตามสายการบังคับบัญชาที่ดี
หลักของการจัดองค์การ
หลักสำคัญของการจัดองค์การ ควรมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน,
อำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบ , ความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชา
, สายบังคับบัญชา , ช่วงการบังคับบัญชา
, การประสานงาน , หลักของการทำงานเฉพาะอย่าง
และเอกภาพในการบังคับบัญชา
ขั้นตอนที่สำคัญ
|
องค์ประกอบของการ
จัดองค์การ
|
เหตุผล
|
1. กำหนดงานต่างๆ ชนิดที่จำเป็นจะต้องทำ
|
การแบ่งงาน(Division
of Work)
|
จัดแบ่งงานทุกชนิดขององค์การให้อยู่ในรูปของกลุ่มงานต่าง ๆ โดยที่กลุ่มงานแต่ละกลุ่มนั้นจะใช้กำลังคนหนึ่งคนในการจัดทำ
|
2. จัดกลุ่มงานต่าง ๆ ให้เข้าอยู่ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
|
การจัดแผนกงาน(Departmentalization)
|
รวมกลุ่มงานต่าง ๆ เข้าด้วยกันเพื่อให้กิจกรรมต่าง ๆ
สามารถดำเนินไปได้อย่างสอดคล้องและกลมกลืนกัน
|
3. กระจายและมอบหมายอำนาจหน้าที่ให้กับบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
|
การกระจายอำนาจหน้าที่ (Distribution of Authority)
|
กำหนดความรับผิดชอบสำหรับงานต่าง ๆ พร้อมทั้งมอบหมายหน้าที่ที่ต้องใช้ในการทำงานดังกล่าวให้กับบุคคลที่รับผิดชอบ
|
4. เชื่อมหน่วยงานต่าง ๆเข้าด้วยกันเพื่อให้การดำเนินการขององค์การเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพบรรลุยังวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
|
การประสานงาน (Co-ordination)
|
เชื่อมบุคลากรและกิจกรรมต่าง
ๆให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสมที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์การสามารถดำเนินงานบรรลุยังวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
|
องค์ประกอบของการจัดองค์การจะประกอบไปด้วย การแบ่งงานกันทำ (Division
of work) การจัดแผนกงาน
(Departmentalization) การกระจายอำนาจหน้าที่
(Distribution of Authority) และการประสานงาน
(Co-ordination)
การจัดองค์การจะปรากฏขึ้นในรูปแผนภูมิองค์การที่เกิดจากการลากเส้นต่าง
ๆ
เพื่อให้เห็นการแบ่งแยกกลุ่มงาน ผู้รับผิดชอบ ตามลำดับลดหลั่นกันไป
รูป แผนภูมิองค์การ จาก http://fedcongroup.com
รูปแผนภูมิองค์การนั้นก็คือ
ความสัมพันธ์ที่เป็นทางการของสมาชิกในองค์การหรือที่เรียกว่า องค์การที่เป็นทางการ (Formal Organization) แต่อย่างไรก็ตามองค์การมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ ดังนั้น
สายสัมพันธ์ในองค์การก็จะมีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
ซึ่งเราเรียกความสัมพันธ์ดังกล่าวว่าองค์การที่ไม่เป็นทางการ (Informal
Organization) องค์การที่ไม่เป็นทางการมีอยู่ทุกแห่ง
ซึ่งเป็นองค์การที่เกิดจากความสัมพันธ์ส่วนตัว
มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
รูป องค์การที่เป็นทางการ และองค์การที่ไม่เป็นทางการ
- องค์การที่เป็นทางการ (Formal
Organization) คือ
กลุ่มหรือองค์การที่ถูกกำหนดขึ้นโดยโครงสร้างขององค์การซึ่งมีกฎเกณฑ์
รวมทั้งระบบสายการบังคับบัญชาที่กำหนดขึ้น
- องค์การที่ไม่เป็นทางการ
(Informal Organization) คือกลุ่มหรือองค์การที่เกิดจากการ
รวมตัวของปัจเจกบุคคล โดยอาศัยพื้นฐานทางด้านผลประโยชน์และสายสัมพันธ์ความเป็นเพื่อน
ลักษณะของความสัมพันธ์ภายในจึงไม่มีกฎเกณฑ์ข้อบังคับที่แน่นอน
องค์ประกอบของการจัดองค์การ
การแบ่งงาน (Division of work)
นักวิชาการที่มีชื่อเสียงที่ให้มีการสนับสนุน ให้คนทำงานเฉพาะอย่างตามความถนัด
ของแต่ละคน คือ
Frederick W. Taylor บิดาของการบริหารการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์
กล่าวว่า การแบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ
แล้วให้คนงานแต่ละคนรับผิดชอบงานที่ตนเองถนัด
จะทำให้เกิดความชำนาญในหน้าที่งาน ซึ่งเรียกว่า
ความชำนาญเฉพาะอย่าง ( Specialization ) และจะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการผลิต
( Productivity ) ดังนั้น
การแบ่งงานในองค์การจึงเป็นการแบ่งงานทุกชนิดขององค์การให้อยู่ในรูปของกลุ่มงานต่างๆ
เพื่อให้เกิดความชำนาญเฉพาะอย่าง
และเกิดประสิทธิภาพแต่อย่างไรก็ตามการแบ่งงานยังต้องพิจารณาถึงปัจจัยของงานที่เกี่ยวข้องคือ
1. ขอบข่ายของงาน ( Job Scope ) หมายถึงจำนวนงานที่ได้รับมอบหมายและต้อง
รับผิดชอบมากน้อยแค่ไหน
2.ความลึกของงาน ( Job Depth ) เป็นการจัดระดับของการควบคุมที่ผู้ปฏิบัติมีอยู่
หนืองานที่ตนรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นความอิสระความรวดเร็วตลอดจนการประสานงานกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
3. ลักษณะงาน (Task Characteristics) การจัดคนให้เข้าลักษณะงานที่ทำย่อมทำ
ให้เกิดประสิทธิภาพ และเกิดความพึงพอใจในการทำงานสูง การลาออก การขาดงานจะต่ำ
การจัดแผนกงาน ( Departmentalization)
การจัดแผนกงานหมายถึง การจัดรวบรวมงานชนิดต่าง ๆ หรือขั้นตอนของงานต่าง ๆ
หรือกระบวนการทำงานต่าง ๆ ให้เข้ามาอยู่ในหน่วยงานใหญ่เดียวกัน
เพื่อให้งานมีความสัมพันธ์กันมากขึ้น
การกระจายอำนาจหน้าที่ ( Distribution of Authority )
อำนาจหน้าที่หมายถึง อำนาจอย่างถูกต้องที่ได้รับจากหน้าที่งานหรือองค์การ
ซึ่งอำนาจหน้าที่นี้จะมีความสัมพันธ์กับตำแหน่งงานที่ได้รับอำนาจหน้าที่ส่วนมากมักจะเกี่ยวข้องกับการบังคับบัญชาการตัดสินใจการจัดการต่าง
ๆ ขององค์การ ส่วนการกระจายอำนาจขององค์การก็คือ
การกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบสำหรับงานนั้น ๆ
พร้อมทั้งมอบหมายหน้าที่ และการตัดสินใจในการบริหาร
ประเภทของอำนาจหน้าที่ ( Types of Authority )
อำนาจหน้าที่ในองค์การแต่ละแห่งจะมีหน้าที่ความรับผิดชอบที่หลากหลาย
เพราะฉะนั้นอำนาจหน้าที่จึงจำเป็นที่จะต้องหลากหลายด้วยเช่นกัน
ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอำนาจหน้าที่ที่พบเห็นมีอยู่ 3 ประเภท
ดังนี้
1. อำนาจหน้าที่ที่เป็น Line ( Line Authority ) เป็นอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการ
ตัดสินใจ การมอบอำนาจงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชา รวมไปถึงการควบคุมดูแล เพื่อให้งานที่ปฏิบัติบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ การมอบหมายงานของอำนาจหน้าที่นี้เรียกว่า เป็นการมอบหมายงานตามสายการบังคับบัญชา
2. อำนาจหน้าที่ที่เป็น Staff ( Staff Authority ) เป็นหน่วยงานที่ช่วยเหลืองานที่เป็น
Line เป็นหน่วยงานที่อยู่นอกสายการบังคับบัญชาขององค์การ แต่จะมีความสำคัญพอ ๆ กับงานที่ Line ปฏิบัติ คนทำงานจะบรรลุวัตถุประสงค์ไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เป็น Stafเช่น ฝ่ายคอมพิวเตอร์ ฝ่ายตรวจสอบคุณภาพ เป็นต้น
3. อำนาจหน้าที่ที่เป็น Functional ( Function Authority ) เป็นอำนาจพิเศษที่ให้กับ
หน่วยงานที่เป็น Line หรือ Staff เพื่อที่จะให้งานหรือโครงการพิเศษบางประเภทสามารถดำเนินการไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ที่ได้รับมอบอำนาจหน้าที่นี้จะสามารถบังคับบัญชาบุคคลอื่น ๆ ที่อยู่นอกสายการบังคับบัญชาของตนได้
การมอบหมายงาน (Delegation Process)
เกิดจากแนวคิดจากเหตุผลที่คนหนึ่งคนใดไม่สามารถที่จะทำงานทั้งหมดให้สำเร็จ
ได้ จะต้องอาศัยคนหลาย
ๆ คนช่วยกันทำ ปกติแล้วผู้บริหารจะมอบหมายงาน
และอำนาจหน้าที่ให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา
ที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนรับไปดำเนินการ การมอบหมายงานสามารถกำหนดการมอบได้
ดังนี้คือ
1. การกำหนดความรับผิดชอบให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาของตน
( Responsibility )
ความรับผิดชอบก็คือ หน้าที่ งานหรือภาระกิจอย่างหนึ่งอย่างใด
ที่ผู้บริหารหรือสมาชิกอื่น ๆ ในองค์การจะต้องทำให้แล้วเสร็จ
2. การมอบหมายอำนาจหน้าที่ให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาของตน
(Authority) จะได้สามารถทำงานที่ตนรับผิดชอบอยู่ให้สำเร็จลุล่วงไปได้
โดยมีสิทธิที่จะสั่งการ บังคับบัญชา
ตัดสินใจ เพื่อที่จะทำให้งานที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของตนสามารถบรรลุความสำเร็จ
อนึ่ง อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบเป็นหัวใจที่สำคัญของการมอบหมายงาน
ที่จะต้องมีความสมดุลมิฉะนั้นแล้วงานจะดำเนินไปอย่างล่าช้า
3. ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเกิดความสำนึกถึงภาระหน้าที่
(Accountability) ที่ตนจะต้องปฏิบัติ
และผู้ใต้บังคับบัญชาจะได้ปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายด้วยความเต็มใจ
การรวมอำนาจและการกระจายอำนาจ (Centralization
and Decentralization)
การรวมอำนาจเป็นการที่ผู้บริหารระดับสูง
เก็บรักษาอำนาจหน้าที่ไว้กับตนเอง โดยไม่ยอมให้ผู้ใต้บังคับบัญชาในระดับล่าง
มีสิทธิในการตัดสินใจหรือดำเนินการใด ๆ ในเรื่องที่สำคัญ
แต่ผู้บริหารระดับสูงอาจจะให้ผู้บริหารระดับล่างมีสิทธิในการตัดสินใจได้ในเรื่องเล็กๆ
น้อย ๆ บางเรื่องภายใต้กฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้อย่างละเอียดรัดกุมและชัดเจน
ส่วนการกระจายอำนาจนั้น
ผู้บริหารระดับสูงกระจายอำนาจหน้าที่ลงไปให้กับผู้บริหารและพนักงานในระดับล่าง
โดยที่ผู้บริหารและพนักงานในระดับล่าง
สามารถที่จะตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ได้ค่อนข้างมากขอบเขตและกฎเกณฑ์ที่ใช้เป็นกรอบสำหรับการตัดสินใจเป็นไปอย่างกว้าง
ๆ
การจะกำหนดระดับการกระจายอำนาจ
หรือรวมอำนาจมากน้อยแค่ไหน ต้อง
พิจารณาปัจจัยที่เกี่ยวข้องอื่นๆด้วยคือ
1. ขอบเขตภูมิประเทศที่ครอบคลุม องค์การที่มีสาขาอยู่ภูมิภาคต่าง ๆ มาก จำเป็นต้องมีการมอบหมายอำนาจ
เพราะสำนักงานใหญ่แห่งเดียวไม่สามารถที่จะดูแลงานที่มีกว้างขวางได้อย่างทั่วถึง
เช่น สถาบันการเงิน หรือธนาคารพาณิชย์เป็นต้น
2. ขนาดขององค์การ
ถ้าองค์การที่มีขนาดใหญ่จำเป็นต้องกระจายอำนาจ เพราะ
งานที่ปฏิบัติอยู่จะล่าช้าและไม่สามารถสู้กับคู่แข่งขันได้
3. ความไม่แน่นอนของสภาวะแวดล้อม
ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
องค์การควรจะต้องใช้ระบบการกระจายอำนาจหน้าที่ เพื่อให้การปฏิบัติของ
องค์การมีความยืดหยุ่น จึงจะสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงตามสภาวะ
แวดล้อมได้
4. ความซับซ้อนของเทคโนโลยี องค์การที่มีการใช้เทคโนโลยีชั้นสูง มีความ
สลับซับซ้อนมาก
จำเป็นต้องมีการมอบหมายอำนาจแก่ผู้บริหาร เพื่อ
รับผิดชอบและเพื่อการควบคุมในแต่ละระดับ
การประสานงาน (Co-ordination)
หมายถึง การเชื่อมโยงกิจกรรมหรือการประสานงานต่าง ๆ ของคนในหน่วยงานหรือ
องค์การ ให้นำมารวมเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ
การประสานจะมีประสิทธิภาพหรือไม่เพียงไร ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการด้วยกันคือ สายการบังคับบัญชา
เอกภาพในการบังคับบัญชา และขนาดของการควบคุม
การจัดโครงสร้างขององค์การ
หมายถึง การกำหนดหน่วยงานในแต่ละระดับให้เชื่อมโยงงานเข้าด้วยกัน โดยอาจจะ
เชื่อมโยงงานในลักษณะแนวดิ่ง หรือแนวนอนก็ตาม ให้มีการประสานกิจกรรมต่าง ๆ
ในแต่
ละระดับเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ
การออกแบบโครงสร้างองค์การตามหน้าที่ (Functional
Organization)
เป็นวิธีการจัดองค์การ
โดยแบ่งตามหน้าที่ หรือลักษณะงานที่ต้องทำโดยอาศัยความถนัดของแต่ละบุคคล
เพื่อประโยชน์สูงสุดขององค์การ
รูปภาพจาก : https://www.sciencedaily.com
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
1. มีการแบ่งงานกันทำตามความชำนาญแต่ละ
บุคคล ทำให้เกิดประสิทธิภาพ
2. เป็นการจัดการตามหน้าที่หลักของงาน
3. เหมาะสมกับธุรกิจขนาดเล็ก
4. ผู้บริหารประสานงานได้ง่าย
ควบคุมง่าย
|
1. แต่ละแผนกเห็นแก่หน้าที่ของตนเองไม่
คำนึงถึงส่วนรวม
2. การประสานงานติดต่อระหว่างหน่วยงาน
ต่าง ๆ ยาก
3 ธุรกิจมีการขยายตัวไม่เหมาะสม
4. ไม่เปิดโอกาสให้ฝึกฝนเรียนรู้งาน
|
การออกแบบโครงสร้างองค์การโดยพิจารณาถึงพื้นที่(Territorial or Geographic departmentation)
เป็นการจัดรูปแบบองค์การโดยอาศัยออกเป็นกลุ่ม
ๆ โดยคำนึงถึงสภาพทางภูมิศาสตร์หรือแบ่งตามพื้นที่
ซึ่งจะช่วยให้เกิดความสะดวกในการขยายธุรกิจ หรือการกระจาย
สินค้าหรือบริหารได้ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
1. เรียนรู้และปรับตัวเกี่ยวกับความต้องการของ
คนในพื้นที่ได้ง่าย
2.ประหยัดค่าใช้จ่ายในด้านการขนส่ง
3. ลดปัญหาในเรื่องการติดต่อสื่อสารภายใน
องค์การ
|
1. ควบคุมดูแลจากส่วนกลางได้ยาก
2. หน่วยงานในพื้นที่อาจได้อำนาจมากเกินไป
3. ขาดโอกาสในการพัฒนาความชำนาญเฉพาะ
ด้าน
|
การออกแบบโครงสร้างองค์การตามแบบลูกค้า
เป็นการจัดกลุ่มงานโดยแยกตามความแตกต่างของลูกค้า
เพื่อตอบสนองได้รวดเร็ว และชัดเจนมากยิ่งขึ้น คือ การจัดองค์การโดยยึดหลักตามผลิตภัณฑ์ขององค์การที่ผลิตได้
หรือแยกตามบริการขององค์การ การออกแบบโครงสร้างองค์การแบบตามผลิตภัณฑ์ (Departmentation by product)
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
1. ทำให้สินค้าหรือบริการประเภทต่าง ๆ
ได้รับ
ความสนใจ
2. เหมาะสมกับองค์การขนาดใหญ่
3. มีการมอบหมายงานให้หน่วยงานอื่น
ๆ
|
1. อาจเป็นปัญหาในการประสานงาน
2. หน่วยงานที่แยกออกไปมีอำนาจมาก
|
การออกแบบโครงสร้างองค์การแบบแมททริกซ์ (Matrix
organization)
เป็นการจัดองค์การในลักษณะแผนก แต่ขึ้นกับหน้าที่องค์การ โดยมีสายการบังคับ
บัญชา 2 สายพร้อมกันคือ สายบังคับบัญชาที่เป็นงานประจำ และสายบังคับบัญชาที่เป็นงานโครงการ ทั้งที่เป็นแนวดิ่งและแนวนอน ซึ่งมีอำนาจหน้าที่เท่ากัน
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
1. สามารถนำพนักงานที่มีความรู้และ
เหมาะสมมาช่วยงานได้
2. ประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ้าง
ผู้เชี่ยวชาญ
3. ไม่จำเป็นต้องเพิ่มพนักงานในกรณี
มีโครงการ
|
1. ทำให้เกิดความสับสนในสายบังคับบัญชา
ได้
2. ทำให้กำหนดความสำคัญไม่ถูก(งานประจำ
หรืองานโครงการ)
3. เมื่อโครงการเสร็จมีการเปลี่ยนแปลง
ผู้บังคับบัญชาบ่อย
|
ความสำคัญของการออกแบบโครงสร้างองค์การ
เป็นส่วนประกอบที่สำคัญประการหนึ่งของการจัดการที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจาก
เหตุผล 4 ประการคือ
1.เพื่อให้องค์การมีความคล่องตัว
เมื่อองค์การมีขนาดใหญ่ขึ้นรูปแบบขององค์การ
จึงต้องปรับเปลี่ยนไปทำให้มีการกระจายอำนาจไปสู่ผู้บริหารระดับล่างมากขึ้น
. รูปแบบขององค์การจะต้องสอดคล้องกับลักษณะของแผนกลยุทธ์ที่องค์การเลือกใช้
เมื่อองค์การมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบแผนกลยุทธ์ที่ใช้
ก็จะต้องมีการปรับเปลี่ยนองค์การ เพื่อให้การดำเนินการตามแผนกลยุทธ์มีประสิทธิภาพ
3. รูปแบบขององค์การจะแตกต่างไปตามประเภทของงานที่ทำหากมีก
เปลี่ยนแปลงขอบข่ายของงานหรือลักษณะงานที่ทำ องค์การจึงจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบขององค์การ
เพื่อให้สอดคล้องกับขอบข่ายหรือลักษณะของงานที่ทำเช่นกัน
4.เมื่อองค์การมีการพัฒนาเทคโนโลยีแผนกงานบางแผนกอาจจะต้องยุบ
หรือ
เปลี่ยนลักษณะงานใหม่ จึงจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบขององค์การใหม่ ให้สอดคล้องกับวิวัฒนาการทางด้านเทคโนโลยี
การจัดบุคคลเข้าทำงาน (STAFFING)
นักบริหารทราบดีว่าทรัพยากรมนุษย์เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งขององค์การ
และทรัพยากรมนุษย์ยังเป็นหัวใจสำคัญขององค์การอีกด้วย ไม่ว่าองค์การขนาดใดก็ตาม จะเป็นธุรกิจประเภทใดก็ตาม งานขององค์การเหล่านี้ต้องเกี่ยวข้องกับทรัพยากรมนุษย์เป็นพื้นฐาน
เพราะฉะนั้นนักบริหารขององค์การจึงจำเป็นต้องเอาใจใส่
และรับผิดชอบทรัพยากรมนุษย์ในองค์การ จึงมีคำกล่าวที่ว่า
องค์การจะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการบริหารการจัดการทรัพยากรมนุษย์นั่นเอง
ดังนั้นการจัดการบุคคลเข้าทำงาน ( Staffing
)ในองค์การ และเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบริหารการจัดการองค์การ
ซึ่งจะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องจากบทที่แล้ว ๆ
มาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักบริหารจะต้องจัดหาคนให้อย่างเหมาะสมกับตำแหน่งงาน
พร้อมทั้งฝึกอบรม เพิ่มพูนความรู้ ความสามารถ
และทักษะอื่น ๆ อีกด้วย
การจัดหาบุคคล
การจัดหาบุคคล( Staffing)
หมายถึง การสรรหา การคัดเลือก
การบรรจุตำแหน่งงานต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับโครงสร้างขององค์การ
การจัดหาบุคคล ( Staffing
) หมายถึง การจัดหาบุคคลเข้าทำงาน
ตามกระบวน
การที่เป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ
แต่ให้ความมั่นใจว่าจะได้พนักงานที่มีความรู้ ความสามารถให้กับองค์การ
ระบบการจัดหาบุคคลในองค์การ
ระบบการจัดบุคคลในองค์การ
จำต้องพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ โดยมีการจัดทำแผนขององค์การ
และพิจารณาจำนวนผู้บริหารในแต่ละแผนกขององค์การ และยังต้องวิเคราะห์ถึง
ความต้องการบุคลากรขององค์การ ทั้งในปัจจุบันและอนาคตนอกจากนี้
องค์การยังต้องพิจารณาแหล่งที่มาของบุคลากรว่า ควรจะเป็นแหล่งภายในหรือจากแหล่งภายนอก
ตลอดจนการสมัคร การคัดเลือก การเลื่อนตำแหน่ง การประเมิน
การฝึกอบรมและการพัฒนา รวมถึงการพิจารณาสภาวะความเป็นผู้นำ
และการควบคุม ซึ่งปัจจัยต่าง ๆ
ที่กล่าวมานี้ล้วนเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก
ตลอดจนนโยบายการบริหารงานบุคคล และการจูงใจขององค์การอีกด้วย
ระบบของการสรรหาบุคคล (
Recruitment System )
ระบบของการสรรหาบุคคลในองค์การ
สามารถที่จะสรรหาได้ 2 ระบบ คือ
1. ระบบคุณธรรม
( Merit System ) สำหรับการสรรหาบุคคลในระบบนี้เป็นการพิจารณาถึงความรู้
ความสามารถและประสบการณ์ต่าง ๆ ประกอบการพิจารณารับคนเข้าทำงาน
ซึ่งแนวคิดของระบบคุณธรรมคือ
หลักความสามารถ
หลักความเสมอภาค
หลักความมั่นคง
หลักความเป็นกลางทางการเมือง
2. ระบบอุปถัมภ์ (
Patronage System ) สำหรับการสรรหาบุคคลในระบบนี้
ไม่ได้ให้ความสำคัญต่อ ความรู้ ความสามารถของผู้สมัคร ว่าจะเหมาะสมกับงานหรือไม่เพียงแต่การตัดสินใจรับคนเข้าทำงานเป็นการชักชวน
แนะนำ หรือการฝากจากพรรคพวก ซึ่งระบบนี้จะตรงกันข้ามกับระบบคุณธรรม
รูป ระบบการจัดการทรัพยากรมนุษย์
กระบวนการจัดหาบุคคล
หรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดเป็นหน้าที่ทางการบริหาร
ทรัพยากรมนุษย์ในความหมายของ Staffing ประกอบด้วยขั้นตอนดังต่อไปนี้
- กระบวนการวางแผนทรัพยากรมนุษย์
- การสรรหาบุคคล
- การคัดเลือกบุคคล
- การบรรจุแต่งตั้ง
- การฝึกอบรมและการพัฒนา
- การประเมินผลการปฏิบัติงาน
- การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งงาน
กระบวนการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ ( Human Resource Planning )
การวางแผนทรัพยากรมนุษย์
หมายถึงกระบวนการวิเคราะห์คาดการณ์ ควาต้องการ
ทรัพยากรมนุษย์ในอนาคตขององค์การ โดยให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายขององค์การ ตลอดจนการกำหนดลักษณะของบุคลากรที่เหมาะสมกับงานแต่ละอย่างและเพียงพอ
ที่จะปฏิบัติงานในเวลาหนึ่งเวลาใดอย่างเหมาะสม
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การวางแผนทรัพยากรมนุษย์
หมายถึงการคาดคะเนอย่างเป็นระบบในเรื่องของ
อุปสงค์ อุปทานของพนักงานขององค์การหรือกระบวนการตัดสินใจ โดยใช้ข้อมูลเพื่อให้แน่ใจว่าองค์การสามารถหาคนที่มีความรู้ความสามารถ
เข้ามาทำงานตามระยะเวลาที่องค์การต้องการ
การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง กระบวนการคาดการณ์ความต้องการ
ทรัพยากรบุคคลขององค์การเป็นการล่วงหน้าว่า ต้องการบุคคลประเภทใดระดับใดจำนวนเท่าใดและต้องการเมื่อใด
ความจำเป็นในการวางแผนทรัพยากรมนุษย์
สาเหตุความจำเป็นในการวางแผนทรัพยากรมนุษย์
มีดังนี้คือ
1. สภาวะต่าง ๆ
ในการดำเนินงานมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมออย่างรวดเร็ว หาก
องค์การไม่มีการวางแผนกำลังคน
เพื่อการรองรับการเปลี่ยนแปลง ย่อมก่อให้เกิดปัญหาขึ้นได้ เช่นการขาดอัตรากำลังคนในองค์การ เป็นต้น
2. ปัจจุบันนี้องค์การมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น
องค์การจำเป็นต้องใช้บุคลากร ที่มีความรู้ความสามารถ
จึงทำให้ต้องมีการวางแผนกำลังคนเพราะกว่าจะได้บุคลากรที่มีความรู้
ความสามรารถ ต้องพัฒนาฝึกอบรม ซึ่งใช้เวลาค่อนข้างมาก
3. ข้อกำหนดและกฎหมายของรัฐ
มีอิทธิพลต่อการดำเนินการบริหารงานบุคคล เช่น กฎหมายแรงงานสัมพันธ์
กฎหมายคุ้มครองด้านแรงงาน จึงทำให้นักบริหารต้องวางแผนกำลังคนให้เหมาะสม
4. ต้องการให้เกิดความสมดุล
ระหว่างทรัพยากรบุคคลในตำแหน่งงานต่าง ๆ กับปริมาณงานที่จะต้องทำในอนาคต
5. ใช้ข้อมูลที่ได้จาก
การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เป็นประโยชน์ในการบริหาร
การจัดการบุคคลในด้านอื่น ๆ เช่น การว่าจ้าง
การบรรจุแต่งตั้ง การฝึกอบรม การเลื่อนตำแหน่ง และการจ่ายค่าตอบแทน เป็นต้น
6. ช่วยให้การจ้างอัตรากำลังคนใหม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
7. เป็นแนวทางในการสร้างกำลังคน
ให้สอดคล้องกับความต้องการขององค์การ
8. ช่วยให้กิจกรรมต่างในด้านอัตรากำลังคนเป็นไปอย่างมีระบบ
กระบวนการในการวางแผนทรัพยากรมนุษย์
การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ควรพิจารณาขั้นตอนต่าง
ๆ ไว้ดังนี้
ขั้นที่ 1 การพิจารณาเป้าหมายและแผนขององค์การ คือ การศึกษาและพิจารณา
แผนงานที่องค์การได้กำหนดไว้ เพื่อจะนำผลของการศึกษามาจัดวางข้อมูลด้านบุคลากรในอนาคต
ขั้นที่ 2 การพิจารณาสถานการณ์ทรัพยากรมนุษย์ในปัจจุบัน คือ การสำรวจ
และการจำแนกตามประเภทต่าง ๆ เช่น ตามลักษณะงาน เพศ อายุ
และการศึกษา เป็นต้น
ขั้นที่ 3 การคาดการณ์ทรัพยากรมนุษย์ เป็นการพิจารณาถึงความต้องการจำนวน
ประเภทของพนักงานที่องค์การต้องการ ซึ่งต้องพิจารณาโดยละเอียดถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
เช่น การโยกย้าย การลาออก การเลื่อน ตำแหน่ง การเกษียณอายุ เป็นต้น
ขั้นที่ 4 การกำหนดแผนการปฏิบัติ เมื่อได้คาดการณ์ทรัพยากรมนุษย์แล้ว
จึงกำหนดออกมาเป็นแผนงานเพื่อปฏิบัติเช่นแผนการสรรหา แผนการคัดเลือก แผนการบรรจุ
แผนการฝึกอบรมเป็นต้น
ขั้นที่ 5 การตรวจสอบและการปรับปรุง
ขั้นตอนนี้เป็นการตรวจสอบเปรียบเทียบและปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้กระบวนการวางแผนทรัพยากรมนุษย์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
การสรรหาบุคลากร Recruitment
การสรรหาบุคลากร
เป็นงานขั้นแรกและเป็นงานที่มีความสำคัญในกระบวนการจัดคนเข้าทำงาน (Staffing)
เป้าหมายก็คือ
ให้ได้คนที่มีความรู้ความสามารถมาทำงานในองค์การนั่นเอง เพราะความสำเร็จขององค์การก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของบุคลากร ดังนั้น
การสรรหาคัดเลือกย่อมต้องรอบคอบ เช่นเดียวกัน
การสรรหา คือ กระบวนการในการแสวงหา
เสาะหาและจูงใจผู้สมัครงานที่มีความรู้ความสามารถให้มาทำงานในองค์การ
การสรรหา คือ กระบวนการในการพยายามเสาะแสวงและจูงใจ ให้บุคคลที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสม
ตามที่องค์การกำหนดไว้ ให้เข้ามาสมัครงานในองค์การ
รูปจาก : https://www.qtriangle.in
การบวนการในการสรรหา ( Recruitment
Process ) คือ
1. การวางแผนทรัพยากรมนุษย์2. ความต้องการหรือการร้องของผู้จัดการฝ่ายต่าง ๆ3. การระบุตำแหน่งงานที่จะรับบุคคลใหม่4. การรวบรวมสารสนเทศที่ได้จากการวิเคราะห์งาน5. ข้อคิดเห็นของผู้จัดการฝ่ายต่าง ๆ6. กำหนดคุณสมบัติบุคลากรที่ตรงกับงาน7. กำหนดวิธีการสรรหา8. ความพึงพอใจที่ได้ผู้สมัครรูป กระบวนการสรรหา
- แหล่งในการสรรหา
ในการสรรหาบุคลากรเข้าทำงาน
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคำนึงถึงความเหมาะสม
ของคนกับลักษณะงานที่จะทำ ดังนั้น แหล่งในการสรรหามีที่มาได้ 2 แหล่งคือ
1. แหล่งจากภายองค์การ
ในวิธีนี้สามารถที่จะสรรหาได้โดย
1.1 ผู้บังคับบัญชาทำหน้าสอบคัดเลือก
1.2 ประกาศรับสมัครภายใน โดยเปิดเผยตำแหน่งหน้าที่ และคุณสมบัติ
พร้อมทั้งวิธีการคัดเลือกให้ชัดเจน
ผลดีและผลเสียของการคัดเลือกจากแหล่งภายในองค์การ
ผลดี
|
ผลเสีย
|
1. เป็นการสร้างขวัญกำลังใจ
|
1. ความคิดคับแคบ/ขาดความคิดริเริ่มใหม่
|
คำสำคัญ
(Tags)#education
หมายเลขบันทึก:
518309, เขียน:
03 Feb 2013 @ 12:05 (5 ปีที่แล้ว), สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง,
อ่าน: คลิก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น